วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

มารู้จัก ปืน M79 ตอนที่ 2


ปืนเวอร์ชั่น : M79
บริษัท : COLT
ประเทศ : USA
กระสุน : 40MM
ระบบปฏิบัติการ : BREAK OPEN
บรรจุกระสุน : 1 นัด
ระยะหวังผล : 150-350 เมตร
น้ำหนัก : 2.7 Kg - 3.0 Kg
ฟังก์ชัน : กล้อง ZOOM ระยะกลางถึงไกล , ศูนย์เลเซอร์ , ไฟฉาย




ประวัติ


ปืนยิงระเบิด M79 เป็นอาวุธสงครามที่เคยใช้ในการทำสงครามเวียดนามมาก่อน เเล้วถูกพัฒนามาจากสงครามเวียดนามด้วย ผู้ออกแบบ Springfield Armory โรงงานผลิต Colt สัญชาติอเมริกา


จำนวนการผลิต มากกว่า 350,000 เเล้ว (เฉพาะกองทัพอเมริกาปี.2008)


เป็นอาวุธได้รับความนิยมกับพวกทหารเเละกองทัพต่างๆ ซึ่งไว้ใช้สนับสนุนกับยานพาหนะพวกรถถังโดยเชพาะ มีน้ำหนักที่คล่องตัวดีไม่หนักเกินไป ระดับปานกลาง ระยะหวังผล 150 เมตร ระยะยิงไกลสุด 350 เมตร บรรจุกระสุน 1 นัด วิธีการใส่กระสุน คือ จะต้องหักลำปากกระบอกปืนลงก่อน รูปแบบการหักลำคล้ายลูกซอง เเล้วค่อยใส่กระสุน 40 MM เข้าไปในปากกระบอกด้านหลังปืนที่หักลำ ซึ่งจะมีรูให้ใส่ข้างหลังปากกระบอกปืนน่ะ มีความเร็วในการยิงประมาณ 10 กว่าฟุต/วินาที กว่าจะถึงเป้าหมาย



กระสุนที่ใช้กับปืน M79


GRENADE ; เป็นกระสุนระเบิดธรรมดาซึ่งมีอานุภาพในการทำลายล้างสูงมาก มีรัศมีการทำลาย 5 เมตร


RIOT ; เป็นกระสุนส่องเเสงบอกตำเเหน่งเป้าหมายเเละตัวของเรา เหมือนเป็นพลุส่งสัญญาณยังใงยังงั้น เเต่ถ้าเป้าหมายโดนกระสุนชนิดนี้ยิง จะเกิดอาการตาพล่าชั่วคราว คล้ายๆระบิดเเสง


NAPALM ; อาวุธเคมีที่มีอำนาจทำลายรุนแรงที่สุด คือ ระเบิดนาปาล์ม เป็นระเบิดเพลิง มีรัศมีการเผาผลาญ 5 เมตร เป็นระเบิดความร้อน นำมาใช้รุนแรงในเวียตนาม เรียกว่าอยู่ในรูในเลี้ยวก็ไหม้หมด อุณหภูมิโดยรอบจะสูงมากถึง 1000 - 2000 องศาเซลเซียส ซึ่งมีอานุภาพในการเผาผลาญเเละลุกไหม้สูงมากๆ แผลไฟไหม้ที่ผิวหนังจะทำลายเนื้อเยื่อ จนถึงกระดูก จะแผ่ คาร์บอนมอน็อกไซด์ ออกไปโดยรอบ เป็นพิษไปถึงบรรยากาศชั้นบน ถ้าเทียบกับ ระเบิดอื่นที่มีผลทั้ง blast damage, fire damage, radiation damage และอื่น ๆ อย่างปรมาณู นาปาล์มจะมุ่งเรื่องไฟและความร้อน นาปาล์มเหมาะกับข้าศึกที่รวมอยู่กันเป็นกลุ่มก้อน ทั้งในที่โล่ง บังเกอร์ เปลวไฟที่เเตกกระจายออกไปมีสภาพเป็นวุ้นลูกไฟ มันจึงชอนไชเข้าไปได้ตามซอกหลืบต่างๆ ผลเสียหายที่ตามมา คือ เกิดการย่างสดต่อสิ่งมีชีวิตเเละรวมถึงอาวุธยุทธโธปกรณ์ทั้งหลาย นาปาล์มจึงเหมาะสำหรับหย่อนใส่ข้าศึกใน ซอกหลืบ บังเกอร์ บริเวณชง่อนเขา เป็นต้น


CHEMICAL ; เป็นกระสุนเคมี พวกระเบิดเเก๊สหรือก๊าซ ระเบิดเชื้อโรค สารพิษ กัมมันตภาพรังสี เเต่กระสุนเคมีส่วนใหญ่จะนิยมใช้เป็นเเก๊สโดยส่วนใหญ่น่ะ กระสุนเเก๊สพิษมีหลายชนิด


BUCKSHOT ; เป็นกระสุนลูกปรายเหมือนกระสุนลูกซอง BUCKSHOT เเต่ความเเตกต่างของมันคือ มันจะบรรจุลูกปรายเหล็กหรือลูกปรายตะกั่วมากขึ้น 2 เท่า เนื่องจากใช้กระสุนขนาด 40 MM จึงบรรจุลูกปรายได้มากกว่า 12 MM พลังทำลายจึงเลยสูงมากขึ้น 2 เท่า ซึ่งเเรงกว่ากระสุนลูกซอง ระยะหวังผลเเค่ 50 - 70 เมตร เท่านั้น


SMOKE ; เป็นกระสุนควันรัศมีประมาณ 5 เมตรได้ ซึ่งจะมี 3 สีให้ใช้ คือ สีเขียว เเดง เหลือง ใช้สำหรับอำพลางหนี ป้องกันตัวจากการถูกข้าศึกโจมตีเป็นกลุ่ม เเล้วยังใช้บอกตำเเหน่งที่อยู่ของตัวเราได้ด้วย


CLUSTER ; เป็นกระสุนระเบิดดาวกระจายหรือกระสุนระเบิดลูกปราย เมื่อยิงลูกกระสุนพุ่งออกมา ซึ่งถูกยิงให้ควงสว่านเหมือนกระสุนปืน เมื่อได้ระดับที่พอเหมาะ เปลือกของระเบิดจะเเยกตัวออกมาประมาณ 5 -6 ลูกได้ ลูกปรายจากลูกภายในจะถูกเหวี่ยงออกมาด้วยเเรงหนีศูนย์ สามารถทำลายเป้าหมายในวงกว้างได้


H.E ; เป็นกระสุนระเบิดฮีเลี่ยม หรือระเบิดเเรงสูง HIGH EXPLOSIVE มีพลังทำลายล้างสูงมากถึง 6 เมตรได้ อำนาจในการทำลายล้างจะสูงกว่าระเบิด GRENADE

มารู้จัก ปืน M79 ตอนที่ 1

ความจริง M79 ไม่ใช่อาวุธปืนใหม่หรือหรูหราอะไรเลยครับ เพราะ M79 มันถูกออกแบบมาหลายสิบปีแล้ว และถูกใช้งานอย่างมากในช่วงสงครามเวียดนาม ภาย หลังจึงถูกแทนที่ด้วยอาวุธแบบอื่น
เราจัด M79 เป็นเครื่องยิงลูกระเบิด แปลว่ามันมีหน้าที่ยิงลูกระเบิดออกไป คนยิงไม่ต้องขว้าง
แนวคิดตั้งต้นของการออกแบบ M79 คือ ความต้องการในการเพิ่มอำนาจการยิงให้กับหน่วยระดับหมวด (ราว 50 นาย) โดยใช้ระบบอาวุธที่อำนาจการทำลายล้างสูงแต่พกพาสะดวก

ลักษณะของ M79 นั้นจะมีพานท้ายปืนที่ทำด้วยไม้และลำกล้องปืนขนาดไม่ยาวนัก การยิงจะทำโดยการหักกระบอกปืนออกเพื่อบรรจุลูกระเบิด (กระสุน) เข้าไปที่ด้านท้ายของกระบอก แล้วพับกระบอกกับพาน ท้ายกลับไปติดเข้าด้วยกันอีกครั้ง บนกระบอกปืนจะมีศูนย์เล็งเพื่อใช้ ในการทำการเล็งยิง โดยเมื่อยิงเสร็จแล้วต้องทำการ บรรจุกระสุนใหม่ครับ


M79 นั้นความจริงเป็นชื่อเรียกตัวปืนนะครับ ส่วนมันจะยิงอะไรออกมานั้นเป็นอีกเรื่อง เพราะมี กระสุนหรือระเบิดขนาด 40 มม. หลายชนิดให้เลือกใช้กับ M79 หลายสิบแบบ ซึ่ง ลักษณะการใช้งานจะต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น กระสุนหัวระเบิดแบบ M406 ซึ่งเป็นกระสุนที่บรรจุดินระเบิดอยู่ เมื่อยิงออกไป ชนวนของกระสุนจะเปิดทำงานเมื่อพ้น ปากกระบอกปืนไปแล้วราว 15 - 30 เมตร (ดังนั้นหมายความว่าถ้ามายิง ใกล้ ๆ สมมุติสัก 5 เมตรนี่มันจะไม่ระเบิดนะครับ) เมื่อมันกระทบเป้าหมาย มันจะระเบิดออกและส่งสะเก็ดจำนวนราว 300 ชิ้นกระเด็นออกไปด้วยความเร็วเหนือเสียงซึ่งจะมีระยะสังหารในรัศมี 5 เมตร นอก จากนั้นก็ยังมีกระสุนแบบ M576 ซึ่งใช้สำหรับสังหารบุคคลเช่นกัน แต่จะมีพิสัยสั้นกว่า M406 เพื่อใช้งานในระยะใกล้

นอก จากกระสุนสังหารแล้ว ก็ยังมีกระสุนแบบอื่นอีกด้วยเช่น กระสุนควัน โดย M79 สามารถยิงกระสุนควันแบบ M676 ซึ่งให้ควันสีเหลือง, M680 ซึ่งให้ควันสีขาว, หรือ M682 ซึ่งให้ควันสีแดง (แหมครบสีเลย) หรืออาจจะเป็นระเบิดควันสำหรับชี้เป้าเพื่อให้สัญญาณ ในการยิงทำลายหรือโจมตีทางอากาศ หรืออาจจะเป็นการยิงพลุสัญญาณหรือพลุส่องสว่างเช่น พลุส่งสว่างซึ่งจะเผาไหม้นาน 7 วินาทีในกระสุนแบบ M585 (สีขาว), M663 (สีเขียว), หริอ M664 (สีแดง) หรือถ้าต้องการแสง สว่างที่นานกว่านั้นก็อาจจะเลือกกระสุนที่มีร่มชูชีพติดอยู่ โดยร่มชูชีพจะหน่วงการตกของกระสุนและกระสุนก็จะเผาไหม้ได้ถึง 40 วินาทีเช่น กระสุนแบบ M585A1 (สีขาว), M661 (สีเขียว), หริอ M662 (สีแดง) พลุส่องสว่างพวกนี้ส่งแสงออกมาได้สว่างมากทีเดียวครับ

นอกจากกระสุนที่ใช้ในการสงครามแล้ว ยังมีกระสุนที่ใช้ในการปราบจลาจลอีกด้วยเช่น กระสุนแก๊สน้ำตาแบบ M651 ซึ่งจะมีแก๊สน้ำตาบรรจุอยู่ 53 กรัม สามารถเผาไหม้ได้ 25 วินาที ครอบคลุมพื้นที่ถึง 120 ตารางเมตร (ราว ๆ พื้นที่ขนาด 10.95x10.95 เมตร) และมีระยะยิงราว 200 เมตรสำหรับเป้าหมายที่เป็นจุด หรือ 400 เมตรสำหรับเป้าหมายเป็นพื้นที่ นอก จากนั้นยังมีกระสุนแบบ M1029 ซึ่งบรรจุกระสุนยางขนาด .48 นิ้ว ทั้งหมด 48 นัด การยิงจะใช้ในการปราบจลาจลโดยมีระยะยิงตั้งต้นตั้งแต่ 10 เมตรไปจนถึง 30 เมตรซึ่งกระสุนจะหมดพลังงานและตกลงสู่พื้น


ดูแล้ว M79 มีประสิทธิภาพมากทีเดียวครับ เนื่องจากข้อดีมันมีหลากหลายคือ น้ำหนักเบา ให้อำนาจการยิงสูง มีความแม่นยำสูง มีระยะยิงไกล (ไกลสุด 350 เมตร) สามารถเพิ่มอำนาจการยิงให้กับหน่วยได้ ในช่วงหนึ่งตามอัตราการจัดหน่วยทหารราบนั้นมีอัตราของพลยิงเครื่องยิงลูก ระเบิดแบบนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ข้อเสียสำคัญก็คือ มันทำการยิงได้ช้า คือทำการยิงได้ราว 6 นัดต่อนาที และที่สำคัญก็คือ พลยิงมีแค่ M79 อย่างเดียว ไม่ได้พกปืนไรเฟิลเหมือนกำลังพลคนอื่น อาวุธ ที่ใช้ป้องกันตัวมีเพียงปืนพกเท่านั้น นั้นให้อัตรา การเสียชีวิตของพลยิง M79 ในการรบค่อนข้างสูง เพราะเมื่อยิงกระสุนจนหมดแล้วพลยิงมีเพียงปืนพกเท่านั้นที่ใช้ป้องกันตนเอง และทำการรบในระยะใกล้ได้ยากเนื่องจากกระสุนต้องมีระยะเวลาและระยะทางในการ เดินทาง เมื่อเห็นปัญหานี้ภายหลัง M79 จึงเริ่มถูกลดระดับลงและทดแทนด้วย M203 ซึ่งติดตั้งอยู่ใต้เล็กยาว แบบ M16 นั้นเองครับ ทำให้เวลายิงก็สามารถบรรจุ กระสุนแล้วทำการยิงจาก M203 ได้เลย เมื่อยิงจบแล้วก็ทำการยิงกับปืน M16 ได้อีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าระยะยิงของ M203 จะน้อยกว่าและความแม่นยำต่ำกว่าก็ตาม ส่วน M79 นั้นบางครั้งก็ยังถูกใช้ในบางหน่วยที่ต้องการอำนาจการยิงเฉพาะแบบอยู่ครับ



สำหรับกองทัพไทย มี M79 ประจำการมานานแล้วตั้งแต่ช่วงสงครามเวียดนาม และก็เป็นไปในทางเดียว กันนั้นก็คือ ปัจจุบัน M79 ถูกลดระดับลงไปเป็นอาวุธสำรองราชการ คือเก็บไว้เผื่อกรณีเกิดสงคราม หรือถ้ายังมีประจำการอยู่ก็จะมีเพียงบางหน่วยที่ยังใช้ อยู่เท่านั้น นอกนั้นหน่วยรบหลักต่างเปลี่ยนไปใช้ M203 แทนแล้ว นอกจากนั้นในระดับหมวดหรือระดับกองร้อยก็ยังมีเครื่องยิง ลูกระเบิดอัตโนมัติขนาด 40 มม.เข้าประจำการแทนแล้วครับ เจ้าเครื่อง นี้มันก็คล้าย ๆ กับ M79 ที่ติดบนขาทรายและยิงอัตโนมัติได้นั่นเอง